วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ซูเปอร์แหบ แสบสะบัด


คำเตือน blog นี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของหนัง ( spoil ) ใครที่ไม่ต้องการอ่านกรุณาข้ามตัวหนังสือสีเหลืองไปนะครับ

เมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่อง ซูเปอร์แหบ แสบสะบัด กับน้องสาวมา
จึงอยากจะมาเล่าสู่กันฟังว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร

สารภาพตามตรงว่าตอนแรกอยากดูเรื่อง ฝัน หวาน อาย จูบ มากกว่า แต่เนื่องจากน้องสาวมันดูแล้ว
บวกกับกระแสจากเพื่อนๆและจากอินเทอร์เน็ตว่า ฝัน หวาน อาย จูบ มันไม่ค่อย work สักเท่าไร เลยตัดสินใจมาดูเรื่องนี้แทน

แม้ใครๆ จะบอกว่าดูจากตัวอย่างหนังแล้วมันจะดีเร้อ แต่สำหรับเรา ตอนเราได้ดูตัวอย่างเรื่องนี้ครั้งแรก
เราเกิดความรู้สึกอยากดูขึ้นมานิดๆ ทั้งๆที่ปกติแล้วไม่ได้ชื่นชอบฟิล์ม หรือ อยากจะดูหนังแนวนี้สักเท่าไร
ก็อาจจะเป็นเพราะเพลงประกอบที่เราฟังแล้วรู้สึกชอบก็ได้ ทำให้เราตัดสินใจไปดูเรื่องนี้

เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เนื้อเรื่องมันก็มีอยู่ว่า มีเพื่อนสนิทสองคน คนหนึ่งชื่อ ตึ๊ง (เสนาหอย-เกียรติศักดิ์ อุดมนาค) เป็นคนที่ร้องเพลงเพราะแต่มีรูปร่างหน้าตาไม่ดีสักเท่าไร กับอีกคนก็คือ ต้อม (ฟิลม์-รัฐภูมิ โคคงทรัพย์) เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาดี เต้นเก่ง แต่เนื่องจากมีเสียงแหบทำให้ร้องเพลงได้ไม่เพราะ

แต่แล้วทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสออกอัลบัมร่วมกันโดย ให้ต้อมเป็นคนออกหน้า ส่วนตึ๊งเป็นคนร้องเพลง ภายใต้ชื่อว่า "ตง ลี เฮ "
โดยทั้งสองก็ต้องช่วยกันปกปิดไม่ให้ใครรู้ความจริง

เตือนอีกครั้ง ข้างล่างนี้จะ spoil นะ ใครไม่อยากรู้ข้ามไปข้างล่างได้เลย

ข้างบนเป็นเรื่องย่อๆนะ ตรงนี้จะเล่าอย่างละเอียดเลย
ต้อม นั่นตกงาน ส่วนตึ๊งนั้นถูกพักงานทำให้ไม่มีเงินทั้งคู่ ทั้งคู่ไปที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือแก่เจ้าของร้าน
แต่เจ้าของร้านก็บอกว่าไม่สามารถช่วยได้เหมือนกัน ตรงนี้หนังได้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนนั้นรู้จักกันตั้งแต่เด็ก และในตอนเด็กๆนั้นทั้งคู่ก็เคยลิบซิงมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว

ต่อมาวันนึง ต้อม ได้เปิดเพลง touch my heart ให้ ตึ๊งได้ฟัง และตึ๊งก็ได้อัดวิดีโอตัวเองเต้นและลิบซิงเพลงนี้ ไปปล่อยในอินเทอร์เนตและได้นำไปเสนอให้แก่ค่ายเพลง double dream (มั้งไม่แน่ใจชื่อ) ซึ่งมี เจ๊เง็ก (เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์) เป็นเจ้าของค่ายและมี สาลี่ (ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์)เป็นเลขา ซึ่งค่ายเพลงนี้นั้นกำลังจะเจ๊ง โชคดีว่ามีเอิ่มจำชื่อไม่ได้ แต่เหมือนเป็นเจ้าหนี้ของค่ายเพลงนี้ได้เอาลูกมาฝากให้ฝึกงานซึ่งก็คือ แก้ว (มด-คุณัชญา ชัยรัตน์) โดยให้เงินแก่ค่ายเพลงนี้ 1 ล้านบาทด้วย โดยในวันที่ แก้วมาวันแรกนั้นเป็นวันเดียวกันกับวันที่ต้อมเอา demo เพลงของตึ๊งมาให้ค่ายเพลงแต่ไม่มีโอกาสได้ให้เพราะ โดนตึ๊งโทรตามก่อน จึงวางไว้กับซองงานของ แก้ว แก้วได้นำไปให้ เจ๊เง็กโดยไม่รู้ตัว (ลืมบอกไปแก้วมาฝึกงานเป็น creative)

ต่อมา เจ๊เง็กได้มีโอกาสฟังเพลงนี้และได้รู้จาก แก้ว ว่าเพลงนี้ฮิตมากใน internet จึงได้โทรให้ ตึ๊ง และต้อมมาออกเทป ทั้งสองคนจึงขอค่ามัดจำก่อน 2 แสน เจ๊เง็กจึงให้ไปซึ่งตึ๊งได้เอาไปใช้เป็นค่าเรียนของน้องที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเจ๊เง็กได้รู้ความจริงเรื่องที่ต้อมร้องเพลงไม่ได้ก็ได้บังคับให้ทั้งสอง ลิบซิงออกเทป ทั้งสองคนไม่สามารถปฎิเสธได้เพราะได้ใช้เงินไปแล้ว

ตง ลี เฮ ประสบความสำเร็จมากคอนเสริตครั้งแรกก็ผ่านไปด้วยดี จน ลูซี่ (อาภาพร นครสวรรค์) นักร้องที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นเกิดอิจฉาในความสำเร็จของ ตง ลี เฮ จึงเข้ามาป่วนในงานปาร์ตี้หลังคอนเสริตซึ่งเกือบทำให้ความจริงเรื่องที่ต้อมเสียงแหบเปิดเผยออกมา แต่ก็ได้แก้วมาช่วยไว้ก่อน โดยขึ้นไปจูบต้อมบนเวที แต่ลูซี่ก็ได้รู้ความจริงว่า ต้อม นั้นเสียงแหบ คืนนั้น แก้ว กับ ต้อม ก็หลบหนีแฟนเพลงออกไปจากงาน แล้วก็เกิดฝนตกขึ้น แล้วทั้งคู่ก็ได้เต้นเพลง touch my heart กลางสายฝน เหมือนในตัวอย่างนั่นแหละ ซึ่งตอนแรก แก้ว ก็เต้นไม่เป็นแล้ว ต้อม ก็สอนจนเต้นเป็น ฉากนี้เหมือนเป็นฉากที่ทั้งสองคนแสดงความรู้สึกที่มีต่อกัน ผ่านบทสนทนาที่เราจำไม่ค่อยได้ มันประมาณว่าต้อมถามแก้วว่า ถ้าเป็นคนอื่นจะขึ้นไปจูยอย่างตะกี้รึป่าว แก้วเลยตอบว่า ถามยังงี้คิดอะไรรึป่าว ประมาณนี้แหละ

คืนนั้น ตึ๊ง กับ ต้อม ทะเลาะกันต่างฝ่ายต่างโมโหเลยใช้ถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจทั้งสองฝ่าย ผลจากการตากฝนทำให้คืนนั้น ต้อม ไม่สบายต้องพาไปส่งโรงพยาบาล ที่โรงพยาบาลมีแฟนๆของ ตง ลี เฮ และนักข่าวมากมายมาทำข่าว ลูซี่พยายามจะเปิดโปง ต้อม โดยการบีบให้ต้อมพูดต่อหน้านักข่าว ต้อมพูดขอบคุณแฟนๆแล้วแกล้งเป็นลมเพื่อหนีนักข่าว แต่ปรากฎว่าเสียงของต้อมกลับไม่แหบ เป็นเพราะการเป็นหวัดทำให้เสียงเป็นเสียงฟิล์มปกติ

(เริ่มขี้เกียจพิมพ์ ต่อจากนี้เอาสรุปๆละกัน)
เจ๊เง็ก เลยจะจัดคอนเสิร์ตขอบคุณ เนื่องจาก ต้อม เสียงดีแล้ว จึงทำให้ ตึ๊ง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นอีกต่อไปบวกกับ ตึ๊ง ได้ยิน ต้อม พูดกับแก้วในโรงพยาบาล ว่า ถ้าตึ๊งไม่มีต้อมเพลงของมันคงไม่ดัง แต่ ตึ๊งเดินหนีไปก่อนทำให้ไม่ได้ยินต้อมพูดอีกว่า แต่มันก็ลืมไปว่าเพลงของมันเพราะยังงี้ จะทำให้คนจำเพลงของมันได้ยาวนานกว่ารูปร่างหน้าตาของต้อม (อาไรประมาณนี้ จำไม่ได้) โดยก่อนที่ ตึ๊ง จะหนีไปนั้นได้ทิ้งเพลง เธอเป็นแรงบันดาลใจ ไว้ให้พร้อมจดหมายที่บอกว่า ตัวเองได้แต่งเพลงนี้ไว้ตั้งแต่เป็น ตง ลี เฮ ใหม่ๆโดยอยากจะใช้เพลงนี้ เพื่อขอบคุณแฟนเพลง

ต้อม ซ้อมร้องเพลงเพื่อคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของ ตง ลี เฮ แต่ก็อดเป็นห่วงตึ๊งไม่ได้ แก้วจึงเสนอให้ต้อมไปตามหาตึ๊ง ในสถานที่ที่ตึ๊งน่าจะไปเมื่อไม่สบายใจ ต้อมไปตามหาตึ๊งที่ร้านคาราโอเกะ ที่เคยไปด้วยกันและเจอตึ๊งในที่สุด ต้อมบอกให้ตึ๊งกลับไปร้องเพลงเหมือนเดิม แต่ตึ๊งปฎิเสธ ต้อมไม่รู้จะทำยังไงจึงกลับไปโดยบอกกับตึ๊งว่าพรุ่งนี้จะมีคอนเสิร์ต

ในวันคอนเสิร์ต ต้อม สามารถร้องเพลงได้จนกระทั่งเพลงสุดท้ายนั่นก็คือเพลง เธอเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งก่อนที่จะร้องเพลงนี้นั้น เสียงของ ต้อม ก็เริ่มที่จะกลับมาแหบเหมือนปกติ เจ็เง็ก ก็ไม่รู้จะทำยังไง จนกระทั่ง ต้อม เริ่มร้องแต่ปรากฎว่ากลับเป็นเสียงของ ตึ๊ง ร้องออกมาจากห้องแต่งตัว โดยทั้งสองคนก็ได้ร่วมร้องเพลงนี้ไปด้วยกันจนจบ ท่ามกลางความประทับใจของแฟนเพลงต่างๆ

เฮ้อ จบซะที หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่เห็นมีเขียนถึงบทของ อิม-อชิตะเลย ก็เพราะจากตัวอย่างนั้นดูเหมือน อิมจะมีบทเยอะ แต่จริงๆแล้วเป็นแค่ตัวประกอบครับ ออกมาไม่กี่ฉากเอง และไม่ค่อยมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องหลักๆเท่าไร

ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้นะ

ข้อดีของหนังเรื่องนี้
หนังเรื่องนี้เป็นหนังตลก ที่เราคิดว่าใช้ได้เรื่องนึง คือหนังสนุก และเรียกเสียงหัวเราะจากเราได้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในตอนแรกๆ ที่บอกว่าในตอนแรกๆเพราะเราคิดว่าในตอนหลังๆนั้นหนังสอดแทรกเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อนสองคนนี้ได้มากกว่า ความตลก และฉากคอนเสิร์ตในครั้งสุดท้ายนั้น เมื่อเพลง เธอเป็นแรงบันดาลใจขึ้นนั้น ทำให้เราขนลุกได้ทันที (แอบน้ำตาซึมนิดหน่อย....... ก็เว่อไป) ซึ่งมุกตลกในหนังไม่ใช่มุกหยาบคายประเภทตบหัว แล้วทำให้คนหัวเราะ แต่เป็นมุกตลกที่เราดูแล้วรู้สึกว่ามันกลมกลืนไปกับหนัง ดูเป็นธรรมชาติ และไม่ดูจงใจยัดเยียดมากเกินไป นอกจากนี้เราว่าหนังเรื่องนี้ยังให้ข้อคิดอะไรดีๆ นอกจากความตลดเฮฮาอีกด้วย

ข้อเสียของหนังเรื่องนี้
เราว่าหนังเรื่องนี้ยังมีความขาดๆเกินๆอยู่
ขาด-หนังยังขาดความสมจริงในบางจุดไป เช่น ในช่วงที่ต้อมเสียงดีนั่น เราคิดว่าต้อมร้องเพลงได้เร็วเกินไปเพราะต้อมมีเวลาซ้อมร้องเพลงแต่ 2 อาทิตย์ก่อนคอนเสิร์ต อีกทั้ง การที่ให้ต้อมร้องสด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ต้อมใช้เสียงของตึ๊งมาตลอด แฟนเพลงจะแยกความแตกต่างของเสียงคนสองคนไม่ออกเชียวหรือ
เกิน-จริงๆอาจจะไม่เรียกว่าเกินสักเท่าไรซึ่งส่วนที่เราเรียกว่าเกินก็คือ ในบางฉากนั้นถ้าตัดมุกตลกออกไปจะเป็นฉากที่ซึ้งใช้ได้เลยทีดีแต่การมีมุกตลกแทรกเข้ามาทำให้เรารู้สึกอารมณ์มันดรอป ลงไป แต่ก็นะมันเป็นหนังตลกนี่นาก็ต้องตลกใช่ม้า และอีกเรื่องที่เราคิดว่าเกินคือบทของอิม อชิตะ ที่เราว่ามันน้อยเหลือเกิน น้อยจนแทบจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะเราว่าตัวละครของอิม มีเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีคนที่ไม่มองที่ตัวตนของนักร้องแต่มองในความไพเราะของบทเพลงเท่านั้น ( อิมพูดประมาณว่า คนที่แต่งเพลง touch my heart จะต้องเป็นคนที่ อ้วน ดำ แต่ต้องเป็นคนที่โรมนติก และสุภาพแน่ๆเลย ซึ่งแฟนเพลงทุกคนไม่รู้ว่าตึ๊งเป็นคนแต่งเพลง แต่จะรู้ว่า ตง ลี เฮ หรือ ต้อม เป็นคนแต่งเอง )


สรุปแล้ว หากใครผิดหวังกับ ฝัน หวาน อาย จูบ แล้วอยากหาหนังตลกดีๆ(สำหรับเรา)เรื่องนึง ลองไม่ตั้งความหวัง ทำใจให้สบาย ลบอคติทั้งหลายแหล่ แล้วลองตีตั๋วเข้าไปชมหนังเรื่องนี้ดู รับรองว่าต้องได้รับความสนุก และความประทับใจจากหนังเรื่องนี้แน่นอน คอนเฟิร์ม!!!!!!! (ถ้าไม่สนุกอย่ามาฟ้องเรานะ ไม่มีตังค์จ่าย)








ปล. ขอบคุณทุกๆคนที่ทนอ่านจนจบ มันอาจจะงงๆไปบ้าง ก็ขอโทษด้วย มือใหม่หันเขียน + ดึกแล้วเริ่มมึนๆ
ปล2. เหมือนเดิมขอให้คนอ่านและคนเม้นทุกๆคน get A กันถ้วนหน้านะคร้าบบบบบบบบบบบบบบ


วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เกือบแล้ว อีกนิดเดียว

อีก 2 วันเท่านั้น !!!!!

การสอบอันยาวนานก็จะสินสุดสักที

เฮ้อ สอบมา 4 วิชา รู้สึกหดหู่มากมาย ขอบ่นหน่อยๆ

เริ่มวิชาแรกก็ลางไม่ดีซะละ กับ Exp Eng ที่โปรดปราน

ตอนทำนี่ก็ทำไปปวดหัวไป writing นี่ก็เขียนมึนๆ เน้นครบ 150 ไว้ก่อน จะถูกจะผิดช่างมัน

อารมณ์ตอนออกมาจากห้องสอบนี่ แบบไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น ทำใจไม่ได้ แงๆ

พอมา Phy med นี่ค่อยยังชั่ว

อยากจะบอกกับอาจารย์ว่า ต้องให้มันได้อย่างนี้สิครับอาจารย์ รักอาจารย์ที่สุดเลยยยยยย

แต่ก็นะ ขนาดออกตามโพย ยังพลาด !!! ตอนทำข้อสอบก็ทำไปยิ้มไปออกตรงโพยอย่างนี้ จะเหลือเรอะ

พอออกมา อ้าวข้อแขนตรูผิดนี่หว่า พอรู้ว่าผิดเริ่มเครียดครับ เอาแล้วไง ไอ้ที่ทำไปมันจะพลาดตรงไหนอีกรึป่าว

มีโอกาสคิดได้ไม่นาน ก็ต้องอ่านหนังสือต่อเพื่อสอบวิชาต่อไป

สำหรับเพื่อนๆหลายคนอาจจะใช้เวลา วันอังคารนั่งอ่าน mol bio

หรือ บางคนก็แอบอู้ แต่สำหรับเราหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ (ติดอาจารย์เขมมาป่าวเนี่ย) เนื่องจากเรามีสอบ !!!!

ซึ่งวิชาที่เราต้องสอบก็คือ Movie world หลายคนอาจจะคิดว่า มันคงจะชิวๆละมั่ง ดูหนังเพลินแล้วก็ทำข้อสอบเพลินๆ

ซึ่งเราคนนึงแหละที่คิดแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ (เอาอีกแล้ว)

พอเปิดดูข้อสอบ อารมณ์แรกเลยคือ อึ้ง ครับ ทำไมนะหรอ ก็เพราะว่าข้อสอบมันมี 5 ตัวเลือก

ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ มันมี 5 ตัวเลือก และมี 50 ข้อ เก็บ 50 คะแนน ทำไปเครียดไป - -"

แถม อาจารย์มีบอกก่อนสอบด้วยว่า อาจารย์จะรีบตรวจ ข้อสอบให้เสร็จ เพื่อจะได้ให้นิสิตมีโอกาสได้ withdraw (เขียนงี้รึป่าวหว่า)

แถมอีก!! วิชานี้มันดันสอบเย็นอีก แล้วจะเอาเวลาไหนไปอ่าน mol bio ละคร้าบบบบ

บ่นไปก็เท่านั้น ยังไงๆก็ต้องสอบ

และแล้วช่วงเวลาแห่งเกมวัดดวงก็มาถึง

ข้อสอบมี 5 ตัวเลือก เฉยๆแล้วครับ รุมาก่อน+เจอ movie world มาแล้ว 5 ตัวเลือกไม่ตกใจเท่าไร จะมี 4 หรือ 5 ก็เดาเหมือนกัน

เอานะ เด๋วคะแนนออกก็รู้

เหลืออีก 2 วิชา ก็จะจบสิ้นกันเสียที การสอบ mid term อันแสนสนุก

ว่าแล้วก็ขอตัวไปอ่านแลบ ก่อนดีกว่าจาได้ไม่ต้องมานั่งเศร้าใจ เวลาออกจากห้องสอบ




ปล. ขอให้คนเม้น get A ทุกคนนะครับบบบบ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ณ ห้องคอม

โอ้ ชั่วโมงคอมชั่วโมงแรก ที่(ถูกบังคับให้)ตั้งใจเรียน !!!

แล้วตกลงอาจารย์จะให้ทำ blog เรื่องอะไรละเนี่ย